ยุคนี้แฟนบอลคงไม่มีใครไม่รู้จัก นักเตะลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์ นามว่า ลิโอเนล เมสซี่ หรือในชื่อเต็มว่า ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่ เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปี 1987 โดยเมสซี่เป็นเด็กหนุ่มที่เกิดในแคว้นซานตา เฟ่ ที่เมืองโรซาริโอ ประเทศอาร์เจนติน่า
และนับตั้งแต่สิ้นยุคของมหัศจรรย์ลูกหนังอาร์เจนไตน์ “เสือเตี้ย” ดีเอโก้ มาราโดน่า ก็มีนักเตะพรสวรรค์สายเลือดใหม่มากมายที่ถูกเปรียบเทียบกับเทพเจ้าลูกหนังรายนี้ แต่ดูเหมือนว่าในที่สุดมาราโดน่า ก็ได้พบกับทายาทที่แท้จริงจนได้ เมื่อได้รู้จักกับเจ้าหนูมหัศจรรย์ นามว่า “ลิโอเนล เมสซี่”
|
โดยลิโอเนล เมสซี่ หรือ “ลีโอ” นั้นเริ่มต้นเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ 5 ขวบ และได้อยู่กับสโมสรเล็กๆที่ชื่อว่า กรานโดลี่ ซึ่งมีพ่อเป็นโค้ชให้ จนกระทั่งในปี 1995 ก็ได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรที่ใหญ่กว่าอย่างนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ เพื่อเรียนรู้วิชาลูกหนังที่ให้แข็งแกร่งกว่าเดิม
เมื่อ ลิโอเนล เมสซี่ ได้ย้ายมาสู่นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ สโมสรในระดับลีกสูงสุดของอาร์เจนติน่า เส้นทางของ”ลีโอ” ตัวเล็กรายนี้น่าจะไปได้สวยและมีโอกาสค่อยๆ ไต่ขึ้นไปสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในอนาคต การก้าวสู่เส้นทางลูกหนังตั้งแต่อายุ 11 ปี โดยไปร่วมสังกัดทีมนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์
แต่ในขณะที่เมสซี่ กำลังจะไปได้ดี โชคชะตาก็เล่นตลกกับเขาอย่างจัง เมื่อร่างกายที่เล็กเกินกว่าเพื่อนร่วมรุ่นขาดพัฒนาการ จึงทำให้เกิดกังวลใจจนพ่อต้องจับตรวจร่างกายและพบว่าเมสซี่ มีปัญหาในเรื่องการเจริญเติบโตของร่างกาย เนื่องจากฮอร์โมนบางตัวได้ขาดไป และพ่อแม่ของเขาก็ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาที่แพงมากในอาร์เจนติน่าได้ หนทางของเมสซี่ นั้นกำลังจะถึงทางตันไปต่อไม่ได้ แต่แล้ว ครอบครัวเมสซี่ ก็พบกับทางสว่าง เมื่อการ์เลส เรซัค ผู้อำนวยการด้านกีฬาของทีมบาร์เซโลน่า ได้เห็นฟอร์มของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้และประทับใจกับพรสวรรค์ที่มีเหลือล้นในตัวของเมสซี่ การ์เลส เรซัค จึงได้ยื่นข้อเสนอให้ว่าทางสโมสรบาร์เซโลน่า ยินดีที่จะจ่ายเงินค่ารักษาให้แต่ว่าเมสซี่ จะต้องไปอยู่ที่สเปน ครอบครัวเมสซี่ไม่ปฏิเสธโอกาสนั้น จึงได้ตัดสินใจเดินทางไปอยู่ที่สเปนพร้อมกันทั้งครอบครัว เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน
และด้วยพรสวรรค์ ฝีเท้า และความเร็วในตัวเขา ทำให้เจ้าหนู”ลีโอ” ค่อยๆ ก้าวเป็นดาวเด่นในทีมระดับเยาวชนของบาร์เซโลน่า ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ทีมบาร์เซโลน่า B อย่างรวดเร็ว
โดยเส้นทางชีวิตของเมสซี่ เหมือนจรวดทะยานขึ้นฟ้า เพียงแค่ไม่นาน เมสซี่ ก็กลายเป็นตัวหลักในทีมชุดBและทำผลงานอย่างเหลือเชื่อด้วยการยิงไปถึง 37 ประตูจากการเล่นแค่ 30 นัดเท่านั้น ฟอร์มการเล่นระดับนี้ไม่มีทางที่แฟรงค์ ไรจ์การ์ด นายใหญ่ทีม “เจ้าบุญทุ่ม” จะมองไม่เห็น และในปลายฤดูกาล 2004/05 ไรจ์การ์ด ก็เปิดทางให้เจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ได้เริ่มต้นลงมาสัมผัสเกมในทีมชุดใหญ่ ซึ่งเมสซี่ ก็ใช้เวลาไม่นานในการยิงประตูแรกในนัดที่พบกับอัลบาเซเต้ ซึ่งก็เป็นประตูสุดสวยด้วยการกระดกข้ามหัวผู้รักษาเข้าไป และเป็นประตูที่ทำให้เมสซี่ เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงให้ “เจ้าบุญทุ่ม” ได้ในวัยเพียง 17 ปี 10 เดือนกับอีก 7 วัน
และหลังจากนั้น เมสซี่ ก็กลับมาเป็นแกนหลักของทีมชาติเยาวชนของอาร์เจนติน่า หลังได้ปฏิเสธโอกาสที่จะเล่นให้ทีมชาติสเปนไปก่อนหน้านั้น และในรายการฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกที่เนเธอร์แลนด์ เมสซี่ ก็สร้างปรากฏการณ์ขึ้น เมื่อสามารถวาดลวดลายลูกหนังได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจและทุกคนที่ได้เห็นก็ต้องอุทานว่านี่มันดีเอโก้ มาราโดน่า ที่เกิดใหม่ชัดๆ ซึ่งในรายการนี้เมสซี่ เป็นกำลังสำคัญที่สุดในการพาทีมฟ้าขาวคว้าแชมป์และคว้าทั้งรางวัลดาวซัลโวสูงสุดด้วยจำนวน 6 ประตู และยังได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำรายการนี้ด้วย
และทันทีที่จบรายการดังกล่าว สโมสรบาร์เซโลน่า ก็รีบจัดแจงต่อสัญญายาวให้เมสซี่จนถึงปี 2010 ทันที โดยมีเงื่อนไขในการย้ายทีมสูงถึง 150 ล้านยูโร มากกว่าโรนัลดินโญ่ รุ่นพี่ที่เป็นนักฟุตบอลหมายเลข1ของโลกถึงกว่า 30 ล้านยูโรเสียอีก และหลังจากนั้นไม่นาน ในวันที่ 4 สิงหาคม 2005 เมสซี่ ก็ถูกกุนซือ โฮเซ่ เปเกร์มาน ทีมชาติอาร์เจนติน่า เรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่ทันทีและได้ลงสนามนัดแรกทันทีในเกมกับทีมชาติฮังการี แต่ก็เป็นเกมประเดิมสนามที่เลวร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อสำหรับเมสซี่ เมื่อถูกใบแดงไล่ออกจากสนามเพียงแค่ 40 วินาทีเท่านั้นหลังลงเล่นเนื่องจากผู้ตัดสิน มาร์คุส แมร์ก เห็นว่าไปชักศอกใส่วิลมอส วานซัค กองหลังทีมแม็กยาร์ที่พยายามดึงเสื้ออยู่ ทำให้เจ้าหนูมหัศจรรย์ต้องเดินออกจากสนามทั้งน้ำตา
แต่อย่างไรก็ตาม ลิโอเนล เมสซี่ ไม่ได้ท้อแท้มากนักและกลับมาลงสนามใหม่ให้กับทีมชาติอาร์เจนติน่า ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกกับทีมชาติปารากวัย ในวันที่ 3 กันยายน 2005 ซึ่งแม้จะได้เล่นเพียง 8 นาทีและแพ้ไป 1-0 แต่เมสซี่ ก็ถือว่านัดนี้เป็นการลงเล่นนัดแรกครั้งใหม่ของเขาในสีเสื้อฟ้าขาว ต่อมาไม่นานในวันที่ 25 กันยายน เมสซี่ ก็ได้เป็นพลเมืองของประเทศสเปน ทำให้สามารถที่จะลงสนามให้กับทีมบาร์เซโลน่าได้อย่างไม่ติดขัดอีก หลังต้องอดทนรอข้างสนามมานานนับเดือนเนื่องจากทีมบาร์ซ่า มีนักเตะนอกโควต้าอยู่เกินที่กำหนดแล้ว และเมสซี่ ก็ก้าวมาเป็นกำลังหลักในทีมของไรจ์การ์ดทันที ในฐานะ3ประสานมหัศจรรย์ร่วมกับซามูแอล เอโต้ และโรนัลดินโญ่ นำบาร์ซ่า คว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้งลา ลีกา และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างยิ่งใหญ่ ในปีนี้ ลิโอเนล เมสซี่ ยังได้รับรางวัลโกลเด้น บอย จากนิตยสารตุตโต้ สปอร์ตด้วย และชื่อของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ก็เป็นที่กล่าวขานกันในวงการฟุตบอล ซึ่งแทบไม่มีใครที่ไม่รู้จักลิโอเนล เมสซี่
และในปี 2006 ลิโอเนล เมสซี่ พบกับช่วงเวลาที่ไม่ค่อยดีนัก หลังกลับมาจากฟุตบอลโลกครั้งแรกในชีวิตด้วยความผิดหวังเนื่องจากทีมชาติอาร์เจนติน่า ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยเจ้าภาพเยอรมัน แต่ตัวเขาเองก็ทำผลงานได้ดีไม่น้อยโดยยิงได้ 1 ประตูในเกมพบกับเซอร์เบียแอนด์มอนเตเนโกร (ถล่มไป 6-0) และทำให้เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลกครั้งนี้
และหลังจากนั้น ลิโอเนล เมสซี่ เกิดโชคร้ายได้รับบาดเจ็บในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับแวร์เดอร์ เบรเมน ถึงขั้นกระดูกเท้าแตกจนต้องพักการเล่นมาอย่างยาวนานหลายเดือนนับจากนั้น อย่างไรก็ตาม ลิโอเนล เมสซี่ สามารถกลับมาลงเล่นได้อีกครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เมื่อสามารถทำแฮตทริกได้ในเกม “เอล กลาซิโก้” กับทีมราชัน เรอัล มาดริด ในนัดที่เสมอกับทีมบาร์เซโลน่า 3-3 ที่คัมป์ นู ซึ่งทำให้ลิโอเนล เมสซี่ กลายเป็นผู้เล่นคนแรกในรอบนับ10ปีที่ทำแฮตทริกได้ในเกมนี้ นับตั้งแต่อีวาน ซาโมราโน่ ทำไว้เมื่อปี 1994-95 และหากนับของทีมบาร์ซ่า ก็เป็นคนแรกตั้งแต่โรมาริโอ ทำได้เมื่อปี 1993-94 เลยทีเดียว และยังเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงได้ในเกมเอล กลาซิโก้ ด้วย ต้องบอกว่าสุดยอดจริงๆสำหรับเด็กมหัศจรรย์คนนี้
แต่เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลิโอเนล เมสซี่ เกิดขึ้นหลังจากนั้นเมื่อทำได้คนเดียว 2 ประตูในเกมโคป้า เดล เรย์ กับเคตาเฟ่ ซึ่ง1ในนั้นคือประตูสุดอัศจรรย์ด้วยการลากเดี่ยวจากครึ่งสนามฝ่าดงผู้เล่นเคตาเฟ่ 6 คนเข้าไปทำประตูอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นประตูที่แทบจะถอดแบบประตูแห่งศตวรรษที่มาราโดน่า ทำได้ในฟุตบอลโลก 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับทีมชาติอังกฤษ ที่ถือเป็นประตูในตำนานตลอดกาลของฟุตบอลโลกเลยทีเดียว
และหลังจากนั้นได้มีการนำ2ประตูที่ว่ามาเปรียบเทียบกันแบบประตูต่อประตู พบว่าเป็นประตูที่มาจากพิมพ์เดียวกันจริงๆทั้งจำนวนระยะทางที่เท่ากัน (62 เมตร) และยังเป็นการเลื้อยผ่านผู้เล่นเท่ากันคือ 6 คน (รวมผู้รักษาประตู) ยิงประตูจากมุมเดียวกัน แถมยังวิ่งไปฉลองการทำประตูที่มุมธงเหมือนที่อดีตแข้งนักเตะอย่างมาราโดน่าทำอีกต่างหาก สิ่งเดียวที่แตกต่างคือมาราโดน่า แปด้วยเท้าซ้าย ส่วนเมสซี่ ยิงหักข้อด้วยเท้าขวา
และแล้วการเข้ามาคุมทีมของกุนซือ โจเซ็ป กวาดิโอลาร์ และการจากไปของ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และ โรนัลดินโญ่ เป๊บ กุนซือคนใหม่ ส่งให้เจ้าหนูตีนระเบิดจากอาร์เจนตินา ยิงไปในฤดูกาลเดียวทั้งสิ้น 38 ประตู จ่ายให้ยิงอีก 18 ในจำนวนการลงสนามทั้งสิ้น 51 นัด มีส่วนช่วยให้ทีมเจ้าบุญทุ่ม คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ในฤดูกาลที่ 2008/09
และต่อมาในฤดูกาล 2009-10ลิโอเนล เมสซี่ พาทีมบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ได้สำเร็จ และเขาก็ได้รับรางวัลบัลลงดอร์ ในวันที่ 1 ธันวาคม 2009 โดยเฉือนเอาชนะ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไปได้ ต่อมาในวันที่ 19 ธันวาคมลิโอเนล เมสซี่ ก็ยิงประตูให้กับทีมเอาชนะ เอสตูเดียนเตส คว้าแชมป์ คลับ เวิลด์ คัพ ซึ่งเป็นแชมป์รายการที่ 6 ของบาร์เซโลน่า ซึ่งในปีนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลก จากการจัดอันดับของฟีฟ่ามาอีกด้วย ส่วนในลา ลีกา ลิโอเนล เมสซี่ คว้านักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน เขาทำได้ 47 ประตูและส่งบอลให้เพื่อนยิงประตู 11 ครั้ง จากการแข่งขันทุกรายการในฤดูกาลนี้
ในซีซั่น 2010-11ลิโอเนล เมสซี่ กดแฮตทริค ช่วยให้ทีม บาร์เซโลน่า เอาชนะ เซบีย่า 4-0 กลับมาคว้าแชมป์ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ หลังจากที่ปราชัยมาก่อน 1-3 ในนัดแรก และเขาก็คว้ารางวัล บัลลงดอร์ ได้อีกครั้ง โดยเอาชนะ ซาบี้ และ อินเนียสต้า เพื่อนร่วมทีมไป ตอนจบฤดูกาล ลิโอเนล เมสซี่ พาทีมบาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ลา ลีกาได้อีกครั้ง โดยที่เขายิงไปทั้งหมด 31 ประตู และส่งบอลให้เพื่อนยิงอีก 18 ครั้ง ส่วนใน ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีก เขาก็พาทีมคว้าแชมป์มาได้เหมือนกัน โดยเป็นแชมป์สมัยที่ 3 ในรอบ 6 ปีเลยทีเดียว ทำให้ลิโอเนล เมสซี่ จบฤดูกาล 2010-11 ด้วยสถิติ ยิงประตูมากถึง 53 ประตู และส่งให้เพื่อนยิงอีก 24 ครั้ง เมื่อรวมทุกรายการ
ฤดูกาล 2011-12ลิโอเนล เมสซี่ ก็พาทีมคว้าแชมป์ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ ได้อีกครั้ง โดยเอาชนะอริตลอดกาล อย่างราชัน ชุดขาว เรอัล มาดริด ไปได้ และก็พาทีมเอาชนะ ทีมปอร์โต้ คว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ได้อีกสมัย ต่อมา เมสซี่ ก็ยิงประตูพา บาร์ซ่า คว้าแชมป์ คลับ เวิลด์ คัพ ได้อีกเช่นกัน ส่งผลให้เขาสามารถคว้ารางวัล บัลลงดอร์ ได้อีกครั้ง ซึ่ง เมสซี่ กลายเป็นนักเตะคนที่4ที่คว้าบัลลง ดอร์ ได้ถึง 3 ครั้ง และก็เป็น 3 ครั้งติดต่อกันด้วย ในวันที่ 25 พฤษภาคม เมสซี่ ยิงประตูในนัดชิง โคปา เดล เรย์ ช่วยให้ บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ สมัยที่ 26 ในถ้วยใบนี้ได้สำเร็จ แต่ในลา ลีกา นั้น เขาไม่สามารถช่วยทีมคว้าแชมป์มาได้ ต้องเสียแชมป์ไปให้กับ เรอัล มาดริด เขาได้รับรางวัลดาวซัลโว เป็นการปลอบใจ โดยเขาซัดไปถึง 50 ประตู เป็นสถิติใหม่ของลา ลีกา เลยทีเดียว แต่เมื่อรวมทุกรายการในปีนี้ เมสซี่ ยิงไป 73 ประตู และส่งให้เพื่อนทำประตูอีก 29 ครั้ง ซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
และในฤดูกาล 2012-13 วันที่ 9 ธันวาคมลิโอเนล เมสซี่ ยิงไป 2 ประตู ในเกมที่พบกับ เรอัล เบติส ซึ่งเป็นประตูที่ 85 และ 86 ของ เมสซี่ ในปี 2012 นี้ ทำลายสถิติของ ตำนานนักเตะชาวเยอรมัน แกร์ด มุลเลอร์ ที่ยิงได้ 85 ประตู ตั้งแต่ปี 1972 ได้สำเร็จ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ตอนสิ้นปี 2012 เขายิงได้ทั้งหมดถึง 91 ประตู ทำให้ เมสซี่ คว้ารางวัล บัลลง ดอร์ ได้อีกครั้ง เมสซี่จึงกลายเป็นนักเตะคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่คว้า บัลลง ดอร์ ได้ถึง 4 ครั้ง สำหรับในลา ลีกา เขาพาทีมทวงแชมป์กลับมาจาก ราชัน ชุดขาวเรอัล มาดริด ได้สำเร็จ โดย ทีมบาร์เซโลน่า ทำคะแนนรวมในลีก ได้ถึง 100 คะแนน ถือเป็นสถิติใหม่ของสโมสร ทำให้ เมสซี่ จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งดาวซัลโวอีกครั้ง เป็นการรับรางวัลนี้ 2 ปีซ้อน โดยยิงไป 46 ประตู และส่งให้เพื่อนทำประตูอีก 12 ครั้ง แต่ถ้ารวมทุกรายการในปีนี้ เขายิงไป 60 ประตู และผ่านบอลให้เพื่อนทำประตู 16 ครั้ง
ช่วงต้นฤดูกาล 2015 ข่าวลือว่า ลิโอเนล เมสซี่จะย้ายทีม แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในเกมที่เอาชนะแอตเลติโก มาดริด ไป 3-1 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เกิด3ประสาม MSN หลังจาก5ปีที่ถูกจับไปเล่นตรงกลาง เมสซี่ก็ได้หวนกลับตำแหน่งเดิมอย่างปีกขวาอีกครั้ง โดยการให้หลุยส์ ซัวเรซ เป็นหัวหอก ตั้งแต่นั้นมาเมสซี่ก็คืนฟอร์มสุดยอดของตัวเองได้ และแทบจะเรียกได้เวลาเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเจ้าตัว ประสานงานเกมรุกกับทั้งเนย์มาร์และซัวเรซได้อย่างน่าเกรงขาม จบฤดูกาล เมสซี่ยิงประตูไปถึง 58 ประตู นับรวมกัน3คนก็ถล่มไปถึง 122 ลูก ในทุกรายการ เป็นสถิติของวงการฟุตบอลสเปน แถมช่วยทีมคว้าทริปเปิ้ล แชมป์ได้
เมสซี่เปิดศักราชใหม่ในปี 2015-16 ด้วยการยิง2ฟรีคิก ในเกมที่เอาชนะเซบีญ่าไป 5-4 ในศึกยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และกลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีก ครบ 100 นัด เมื่อวันที่ 16 กันยายน ต่อมาได้รับบาดเจ็บหัวเข่า จนต้องพักไป 6-8 สัปดาห์ สุดท้ายก็กลับมาในศึกเอล กลาซิโก้ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ลงสนามเป็นตัวสำรอง ช่วยทีมเอาชนะไป 4-0 สุดท้ายเป็นผู้ทำประตูเบิกร่องในศึกฟุตบอลสโมสรโลก 2015 ในวันที่ 20 ธันวาคม สุดท้ายก็ช่วยทีมคว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นถ้วยที่ 5 ของปี 2015 อีกทั้งยังได้รับรางวัลลูกบอลเงินด้วย
สำหรับในทีมชาติอาร์เจนติน่า ลิโอเนล เมสซี่ ก็เป็นกำลังหลักของทีมชาติอาร์เจนติน่าเรื่อยมาในทุกรายการ ถึงตอนนี้ เขาลงสนามในนามทีมชาติไปแล้วทั้งสิ้น 105 ครั้ง ยิงได้ทั้งหมด 49 ประตู
และต้นเดือนสิงหาคม2021 เมสซี่เป็นข่าวดังทั่วโลกทันที่เมื่อสโมสรบาร์เซโลน่า ทีมดังแห่งลาลีกาสเปน ออกมาแถลงยืนยันว่า ลิโอเนล เมสซี จะไม่ได้เล่นให้กับทีมอีกต่อไป เรื่องนี้ก็กลายเป็นข่าวดังที่สุดของวงการฟุตบอลในทันที
10 สิงหาคม 2021 – ลิโอเนล เมสซี่ เซ็นสัญญากับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง อย่างเป็นทางการพร้อมเปิดตัว ด้วยสัญญา 2 ปีพร้อมออฟชั่น
และถ้วยล่าสุดในปี2021ที่ผ่านมา กับถ้วยแชมป์ที่เมสซี่รอคอยนั่นคือการแชมป์ฟุตบอลอเมริกาใต้ ปี 2021 หรือ “โคปา อเมริกา 2021” ที่แข่งรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งผลปรากฏว่า “ฟ้าขาว” อาร์เจนตินา เฉือนชนะ บราซิล เจ้าภาพร่วมไปหวุดหวิด 1–0 คว้าแชมป์สมัยที่ 15 มาครอง และคงไม่มีใครสงสัยถึงความสามารถของลิโอเนล เมสซี่ กันอีกแล้ว เพราะเขาคือ นักเตะจอมทำลายสถิติจริงๆ คงต้องรอดูกันต่อไปว่า เขาจะสร้างสถิติอะไรใหม่ๆ ขึ้นในวงการลูกหนังโลกอีกหรือไม่ แต่ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ยังมีเวลาให้ เมสซี่ สร้างสรรค์ความมหัศจรรย์ให้ทุกคนได้ดูอีกเหลือเฟือ