ข้อมูลนักเตะ

ชื่อเต็ม : เควิน  เดอบรอยน์ (Kevin De Bruyne)

เกิด : วันที่ 28 มิถุนายน 1991 (ดรอนเก้น ประเทศเบลเยียม)

อายุ : 29 ปี

ตำแหน่ง : กองกลาง

ส่วนสูง : 181 เซนติเมตร

เส้นทางฟุตบอล

เส้นทางฟุตบอลของ เจ้าหนูเดอบรอยน์ เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศบ้านเกิด ซึ่งเขาได้เข้าไปฝึกวิชาที่แรกกับ กาเฟเฟ่ดรอนเก้น ในปี 1997 และต่อมา เจ้าหนูเดอบรอยน์ก็ได้ย้ายไปอยู่กับ เคเอเอ เกนท์ ในปี 1999 และอยู่ที่นานถึง 6 ปี ก่อนที่ ในปี 2005 เขาจะโยกย้ายไปเล่นในระดับเยาวชนให้กับ เคอาร์ซี เกงค์ และที่นี่เองที่เจ้าตัวได้พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาอย่างมาก ตั้งแต่การเล่นเยาวชน ขยับขึ้นมาเป็นตัวสำรอง จนสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงของทีมได้

ในฤดูกาล 2010-2011 ถือเป็นปีไฮไลท์ของ เดอบรอยน์ กับ เกงค์ เลยก็ว่าได้ เมื่อเขาระเบิดฟอร์มการเล่นได้อย่างร้อนแรง พาทีมเก็บชัยชนะเป็นว่าเล่น จนในท้ายที่สุดทีมก็สามารถคว้าแชมป์เบลเยียมโปรลีก ได้สำเร็จ

เดอบรอยน์ อยู่ค้าแข้งกับ เกงค์อีก 1 ซีซั่น และยังทำผลงานได้ยอดเยี่ยม จนฟอร์มการเล่นไปเข้าตาทีมงานของ เชลซี ยักษ์ใหญ่พรีเมียร์ลีก ทำให้เดอบรอยน์ถูกทาบทามตัวมาร่วมทีม และเมื่อถึงวันที่ 31 มกราคม ปี 2012 เขาก็ได้ตกลงตัดสินใจเซ็นสัญญาย้ายมาเป็นนักเตะใหม่ของ ทีม”สิงห์บลูส์” ด้วยค่าตัว 6.7 ล้านปอนด์ และสัญญายาวถึงห้าปีครึ่ง แต่เขายังไม่ได้ย้ายมาทันที ยังอยู่เล่นช่วย เกงค์ จนจบฤดูกาล 2011-2012 ต่อไป

หลังจากจบ ฤดูกาล 2011-2012 แล้วเดอบรอยน์ก็ได้ย้ายมาเป็นสมาชิกใหม่ให้กับทีมเชลซี แบบเต็มตัว และเขาก็ได้ลงประเดิมสนามเปิดตัวกับทีมใหม่ ในเกมกระชับมิตร ที่ทีมลงดวลกับ ทีมซีแอตเทิลซาวน์เดอร์ส ทีมในเมเจอร์ลีก สหรัฐอเมริกา และสามารถเอาชนะไปได้ 4-2 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2012 นั่นเอง

และในเวลานั้น เดอบรอยน์ ยังเป็นแค่เพียงแข้งดาวรุ่ง และแผงกองกลางของทีม เชลซี ยังแน่นไปด้วยผู้เล่นชั้นนำ ทำให้เขาโดนปล่อยตัวไปให้กับทีม แวร์เดอร์เบรเมน ในบุนเดสลีกา ยืมตัวไปใช้งาน ในฤดูกาล 2012-13 ซึ่งการย้ายมาเล่นที่ เบรเมน ครั้งนี้ เดอบรอยน์ก็สามารถโชว์ฟอร์มการเล่นได้แบบสุดยอดอย่างมาก และกลายเป็นตัวหลักของทีมที่จะขาดไม่ได้เลย และสามารถยิงประตูได้ถึง 10 ประตู และ10 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 34 นัด และคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของบุนเดสลีกา อีกด้วย

และในเดือนมกราคม ปี 2014 ทางทีม เชลซี ก็ได้อนุญาตให้ ดาวเตะเบลเยียมสามารถย้ายทีมได้ ซึ่งเขาก็ได้ตัดสินใจกลับไปที่ บุนเดสลีกา อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาขอไปเริ่มต้นกับทีม โวล์ฟสบวร์ก ซึ่งเป็นทีมที่กำลังมาแรงอย่างมากในช่วงเวลานั้น และขอซื้อตัวเขาไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 18 ล้านปอนด์

และการย้ายมาเล่นให้กับ ทีมโวล์ฟสบวร์ก เขามาพร้อมกับความมุ่งมั่น และแรงขับเคลื่อนที่อยากจะโชว์ให้ทุกคนให้เห็นว่าเขาก็สามารถเล่นได้ และดีพอที่จะเป็นตัวจริงของทีมได้ และที่นี่ก็เหมือนกับเป็นสถานที่ ที่สร้างให้เขาได้เกิดใหม่อีกครั้ง

และเจ้าหนุ่ม “เคดีบี” สามารถระเบิดฟอร์มการเล่นได้แบบยอดเยี่ยม เขาแปลงร่างจากกองกลางธรรมดา กลายเป็นจอมทัพที่จ่ายบอลได้อย่างเฉียบขาด และบัญชาเกมแดนกลางของทีมได้อย่างสุดยอด และในเลกที่ 2 ของฤดูกาล 2013-14 เดอบรอยน์ ก็สามารถช่วยให้ทีมโวล์ฟสบวร์ก จบอันดับ 5 ของบุนเดสลีกา พร้อมกับเข้ารอบรองชนะเลิศบอลถ้วย เดเอฟเบ โพคาล อีกด้วย

และความสุดยอด และฝีเท้าระดับเทพ อย่างแท้จริง ก็มาเกิดขึ้นใน ฤดูกาล 2014-15 เมื่อเดอบรอยน์โชว์ฟอร์มได้อย่างเปล่งประกายตั้งแต่ต้นฤดูกาลยาวไปจนถึงนัดสุดท้าย จนสามารถพาต้นสังกัดผงาดขึ้นไปเป็นรองแชมป์บุนเดสลีกา ได้อย่างสุดเซอร์ไพรส์ เป็นรองแค่ทีม บาเยิร์นมิวนิค เท่านั้น

และแค่นั้นยังยอดเยี่ยมไม่พอ เดอบรอยน์ ยังพาทีมสามารถเอาชนะทีม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในนัดชิงชนะเลิศ เดเอฟเบ โพคาลและสามารถคว้าแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งในเกมนั้น เขาสามารถยิงประตูได้ด้วย

และในฤดูกาลดังกล่าว กองกลางชาวเบลเยียม สามารถแอสซิสต์ได้มากถึง 21 ครั้ง ซึ่งเป็นการทำลายสถิติของบุนเดสลีกา เลยทีเดียว และเมื่อจบฤดูกาลเขาก็ได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของบุนเดสลีกา, ติดทีมยอดเยี่ยมบุนเดสลีกา รวมทั้งยังได้ตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมัน อีกด้วย

และหลังจากประสบความสำเร็จกับทีม โวล์ฟสบวร์ก และกลับมาแจ้งเกิดใหม่อย่างสวยงามอีกครั้ง เดอบรอยน์ ก็ได้โอกาสกลับมาพิสูจน์ฝีเท้าในศึกพรีเมียร์ลีก อีกครั้ง เมื่อทีม “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มี มานูเอลเปเยกรินี่ กุนซือชาวชิลี คุมทีมอยู่ในตอนนั้น ได้ทุ่มเงินถึง 55 ล้านปอนด์ คว้าตัวเขามาร่วมทีม ซึ่งก็มีหลายคนมองว่าดีลนี้จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่ เนื่องจากเดอบรอยน์เคยล้มเหลวในพรีเมียร์ลีก มาแล้ว

และทุกคำถามที่ยิงเข้ามาหา “เคดีบี” ว่าเจ้าตัวจะล้มเหลวอีกครั้งหรือไม่ เขาก็สามารถตอบได้หมดด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมในสนาม เมื่อเขาสามารถระเบิดฟอร์มการเล่นได้อย่างร้อนแรง ยิงไป 16 ประตู กับอีก 13 แอสซิสต์ พาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ และทะยานเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของสโมสรได้ถึง 4 ครั้ง อีกด้วย

ถึงแม้ว่า ในฤดูกาลถัดมา เปเยกรินี่ จะโดนปลดออกจากตำแหน่ง แต่คนที่เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ของทีม ก็คือ เป๊ปกวาร์ดิโอล่า สุดยอดผู้จัดการทีมแห่งยุค ที่ครั้งหนึ่งเคยบอกว่าต้องการได้ร่วมงานกับ เดอบรอยน์ สักครั้งในชีวิต และก็เหมือนฟ้าลิขิตให้ทั้งคู่ได้มาเจอกันที่ แมนฯ ซิตี้ นี้เอง

และหลังจากทดลองอยู่นาน และแล้ว เป๊ปกวาร์ดิโอล่าก็มาได้ตำแหน่งที่ลงตัวของ เดอบรอยน์ก็คือการให้เขาเป็นตัวฟรี ของแผงกลาง คอยเป็นคนที่สร้างสรรค์เกม, ควบคุมจังหวะการเล่นของทีม และทุกอย่างก็มาลงตัว ในซีซั่น2017-18 นี้เอง เมื่อ เป๊ป โชว์กึ๋นในการคุมทีม บวกกับฟอร์มอันร้อนแรงของนักเตะทีม แมนฯ ซิตี้ โดยเฉพาะ เดอบรอยน์ ที่ระเบิดฟอร์มได้อย่างสุดยอด ไม่มีอะไรที่จะมาหยุดความแรงของเจ้าตัวได้เลย เขาพาทีมผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ด้วยการเก็บคะแนนไปถึง 100 คะแนน ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึง 19 คะแนน ด้วยกัน ส่วนผลงานส่วนตัว เขายังยิงไปถึง 12 ประตู กับทำไปอีก 21 แอสซิสต์ กลายเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซ อย่างแท้จริง

ถึงแม้ว่าจะคว้าแชมป์ลีกมาครองอย่างยิ่งใหญ่แต่แมนฯ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ กวาร์ดิโอล่า ยังเดินหน้าล่าถ้วยรางวัลอย่างไม่หยุดพัก และในฤดูกาล 2018-2019 พลพรรคนักเตะ แมนฯ ซิตี้ ก็เร่งเครื่อง เร่งฟอร์ม จนสุดท้ายสามารถพาทีมแซงหน้า ทีม”หงส์แดง” และคว้าแชมป์ได้อย่างสุดระทึก มีแต้มชนะเพียงแค่ 1 คะแนน เท่านั้น

ผลงานทีมชาติ

เดอบรอยน์ มีส่วนร่วมกับทีมชาติเบลเยียม ตั้งแต่ชุดเยาวชน 18 ปี ก่อนจะไต่ระดับชั้นขึ้นมาเล่นในชุดเยาวชน 19 ปี ตามมาด้วยชุดเยาวชน 21 ปี และด้วยฝีเท้าอันยอดเยี่ยม และโดดเด่นเกินวัย ทำให้เขาถูกเรียกขึ้นมาติดทีมชาติชุดใหญ่ เป็นครั้งแรก ในปี 2010 โดยเวลานั้นเจ้าตัวมีอายุเพียง 19 ปี เท่านั้น และเจ้าตัวก็ได้ลงสนามในเสื้อทีมชาติชุดใหญ่ ในวันที่ 11 สิงหาคม 2010 ในเกมที่ฟาดแข้งกับ ฟินแลนด์

ซึ่งไฮไลท์สำคัญในการรับใช้ชาติของ “เคดีบี” ก็คือการพาทีม ไปคว้าอันดับ 3 ศึกฟุตบอลโลก 2018 ด้วยการเอาชนะทีมชาติ อังกฤษ 2-0 และจนถึงเวลานี้เขาได้ลงเล่นให้ทีมชาติไปแล้วถึง 78 นัด และยิงไปแล้ว 20 ประตู ด้วยกัน

เกียรติประวัติ

เคอาร์ซี เกงค์ :

โวล์ฟสบวร์ก :

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ :

เบลเยียม :

รางวัลส่วนตัว :