ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม : สระราวุฒิ ตรีพันธ์
ชื่อเล่น : อู๊ด
เกิด : 15 ตุลาคม พ.ศ. 2522 ที่ จ.นครศรีธรรมราช
อายุ : 42 ปี
ตำแหน่ง : แบ็กขวา
ส่วนสูง : 170 เซนติเมตร
เส้นทางฟุตบอล
โค้ช“อู๊ด” สระราวุฒิ ตรีพันธ์ เป็นชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ผ่านการศึกษาจากโรงเรียนเทศบาลวัดศาลามีชัย และโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช ก่อนจะเข้ามาคัดเลือกและได้เป็นนักเรียนทุนฟุตบอลและมาศึกษาต่อที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ตั้งแต่ชั้นมัธยม 2
สระราวุฒิ ตรีพันธ์ เล่นให้กับทีม กรุงเทพคริสเตียน ในรุ่นราวคราวเดียวกับ อนุชา มั่นเจริญ, สุธี สุขสมกิจ, สุรพงษ์ คงเทพ, ธีรศักดิ์ โพธิ์อ้น, วัชรพงศ์ กล้าหาญ และสามารถพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาตามลำดับจนได้ลงเล่นฟุตบอลจตุรมิตรครั้งแรกตั้งแต่อายุ 16 และได้เป็นกัปตันทีมตอนอายุ 18 ปี และยังคว้าแชมป์ฟุตบอลขาสั้นมากมายหลายรายการ จนได้ทุนมาศึกษาต่อในโควตานักกีฬาช้างเผือก ที่คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ซึ่ง สระราวุฒิ ตรีพันธ์ ลงเล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลกรุงเทพคริสเตียน และเป็นกำลังหลักสำคัญของทีม และไต่เต้ามาตั้งแต่ถ้วย ง. จนถึงลีกสูงสุดอย่าง “ไทยแลนด์ลีก” ได้สำเร็จ
และหลังเรียนจบปริญญาตรีที่จุฬาฯ “เจ้าอู๊ด” สระราวุฒิ ได้เข้าสู่สโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในดิวิชั่น 1 และช่วยให้ทีมขึ้นชั้นสู่ไทยลีก แต่หลังจากนั้น เขาก็หันไปทำธุรกิจร้านอาหาร บวกกับการใช้ชีวิตที่เริ่มปาร์ตี้สนุกกับเพื่อนฝูงมากขึ้น ทำให้เส้นทางฟุตบอลไปไม่สุดอย่างที่ควรจะเป็น และไม่ประสบความสำเร็จมากนักในอาชีพนักเตะ โดยแบ็กขวารายนี้ตัดสินใจอำลาสนามด้วยอายุเพียง 28 ปีเท่านั้น ซึ่งสโมสรสุดท้ายของเขาก็คือ สโมสร จุฬา-สินธนา
ซึ่งอย่างไรก็ตาม “เจ้าอู๊ด” สระราวุฒิ มีผลงานที่แฟนบอลทั้งประเทศจำได้ดีในนามทีมชาติไทย นั่นคือการคว้าเหรียญทองซีเกมส์ 2001 ด้วยการเอาชนะทีม “เจ้าภาพ” มาเลเซีย 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศ ท่ามกลางแฟนบอลกว่า 7 หมื่นคนที่สนามชาร์ อลัม สเตเดี้ยม
ซึ่งแมตช์นั้น “เจ้าอู๊ด” สระราวุฒิ สวมบทฮีโร่ยิงประตูชัย และเขาถลกเสื้อแข่งขึ้นมา พร้อมโชว์ให้เห็นเสื้อยืดสกรีนลายธงชาติไทย ซึ่งเป็นภาพที่แฟนบอลยังคงจำติดตามาจนถึงทุกวันนี้
และทัวร์นาเมนต์ต่อมา“เจ้าอู๊ด” สระราวุฒิ ได้เป็น1ใน 20 ขุนพลทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ ปีเตอร์ วิธ ชุดคว้าอันดับ 4 ศึกเอเชียนเกมส์ 2002 ที่ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ อีกด้วย
เส้นทางการเป็นโค้ช
หลังจากอำลาสังเวียนแข้งนักเตะ “เจ้าอู๊ด” สระราวุฒิผันตัวเข้าสู่บทบาทการเป็นโค้ชฟุตบอลโดยเริ่มจากการเป็นสตาฟฟ์ทีมอคาเดมี่ โคร์เวอร์ โค้ชชิ่ง ของทีมเมืองทอง ยูไนเต็ด และต่อมาได้ก้าวขึ้นมาเป็นผอ.อคาเดมี่ และเป็นสตาฟฟ์โค้ชของทีมกิเลนผยองในยุคของ “โค้ชแต๊ก” อรรถพล บุษปาคม และเรเน่ เดอ ซาเยียร์
และหลังจากเริ่มสั่งสมฝีมือและประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ โค้ชอู๊ด สระราวุฒิ ยกระดับขึ้นมาเป็นกุนซือกับหลายสโมสร อาทิเช่น นนทบุรี เอฟซี, ศุลกากร ยูไนเต็ด, ธนบุรี เอฟซี, บางกอก เอฟซี, สีหมอก เอฟซี โดยเรียนรู้และพัฒนาศาสตร์ลูกหนัง จนผ่านหลักผู้ฝึกสอนระดับสูงสุดของประเทศไทย หรือ “โปร ไลเซนส์” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จนกระทั่งกลางปี 2019 โค้ชอู๊ด สระราวุฒิ ได้เป็น1ในทีมสตาฟฟ์ของ “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ ที่เข้ามาคุมการท่าเรือ เอฟซี ซึ่งโค้ชอู๊ดถือเป็นคนเบื้องหลังที่มีบทบาทสำคัญช่วยให้ทีมสิงห์เจ้าท่าผงาดคว้าแชมป์ช้าง เอฟ เอ คัพ 2019 มาครองได้สำเร็จ
และเป็นที่ทราบกันดีว่า โค้ชโชค มีปัญหาการทำงานกับประธานสโมสร “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ จนต้องแยกทางกันเมื่อเดือนมีนาคม 2020 ซึ่งทำให้ โค้ชอู๊ด สระราวุฒิ ต้องอำลาทีมสิงห์เจ้าท่าตามไปด้วย
และมาถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา โค้ชอู๊ด สระราวุฒิ ก็ถูกดึงตัวกลับมาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขากลับมาในฐานะ “กุนซือใหญ่” อย่างเต็มตัว โดยมีทีมงานอย่าง จักรราช โทนหงษา, ณรงค์ชัย วชิรบาล และ ณรงค์ฤทธิ์ ขุนทิพย์ เข้ามาเป็นผู้ช่วย และในช่วงแรกแฟนบอลต่างตั้งคำถามว่า “จะไหวเหรอ?” เพราะต้องยอมรับว่า ดีกรี และความสำเร็จในบทบาทกุนซือของ โค้ชอู๊ด ยังไม่เป็นที่ประจักษ์สักเท่าไรนัก ในขณะที่ ทีมการท่าเรือ เต็มไปด้วยแข้งนักเตะซูเปอร์สตาร์แน่นทีม
และ ด้วยสไตล์การทำงานที่ถึงลูกถึงคนตรงไปตรงมา ทำงานหนักและจริงจังเต็มที่ยามฝึกซ้อมหรือแข่งขัน ก่อนจะกลายเป็น “เพื่อนและพี่ชาย” ที่ไม่ถือตัวกับน้องๆนักเตะ ทำให้โค้ชอู๊ด สระราวุฒิสามารถ “ซื้อใจ” จนทำให้ทีมติดเครื่องได้อย่างรวดเร็ว เพราะศักยภาพของแข้งท่าเรือนั้นยอดเยี่ยมอยู่แล้ว
และหลังจากนั้นผลงานในสนามก็เป็นคำตอบทุกสิ่งทุกอย่าง…
และขุนพลนักเตะสิงห์เจ้าท่าภายใต้การคุมทัพของ โค้ชอู๊ด สระราวุฒิ กลับมาระเบิดฟอร์มได้อย่างเหลือเชื่อ โดยเดินหน้าเก็บชัยชนะ 10 นัดติดต่อกันในทุกรายการ จนทำให้ทีม การท่าเรือ คว้าตั๋วไปลุยรอบแบ่งกลุ่ม ศึกฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา 53 ปี ทำให้ “มาดามแป้ง” ยิ้มแก้มปริ